สาเหตุที่ทำให้เด็กพัฒนาการความสูงช้าที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจ

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เด็กพัฒนาความสูงช้า? บทความของ UniGrow จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจสาเหตุและวิธีสังเกตอาการนี้ เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

 

1. การเติบโตของความสูงแบบใดจึงถือว่าปกติ?

 การพัฒนาความสูงในเด็กเกิดขึ้นตามช่วงวัยที่เจาะจง การเข้าใจช่วงการพัฒนาปกติจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตสัญญาณของพัฒนาการความสูงช้าได้ตั้งแต่เนิ่นๆ:

  • 0–1 ขวบ: เด็กอาจสูงขึ้น 20–25 ซม. ในปีแรก – นี่คือช่วงการพัฒนาที่ดีที่สุด

  • 1–2 ขวบ: อัตราการเติบโตช้าลง แต่ยังคงอยู่ที่ประมาณ 10–12 ซม. ต่อปี

  • 3 ขวบขึ้นไป: เด็กจะสูงขึ้นประมาณ 5–7 ซม./ปี จนกระทั่งก่อนเข้าสู่วัยแรกรุ่น

  • วัยแรกรุ่น: นี่คือช่วง "ก้าวกระโดด" ความสูงอาจเพิ่มขึ้น 8–12 ซม./ปี หากมีภาวะโภชนาการ การออกกำลังกายและการนอนหลับที่ดี

[caption id="attachment_2647" align="aligncenter" width="800"]เด็กมีการเจริญเติบโตด้านความสูงต่างกันตามช่วงวัย เด็กมีการเจริญเติบโตด้านความสูงต่างกันตามช่วงวัย[/caption]

อย่างไรก็ตาม หากความสูงของเด็กต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กวัยเดียวกันถึง 2 ระดับมาตรฐาน หรืออัตราการเพิ่มความสูงช้าลงเรื่อยๆ นี่อาจเป็นสัญญาณของการพัฒนาความสูงช้าที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม

2. "พัฒนาการความสูงช้า" คืออะไร

พัฒนาการความสูงช้าคือภาวะที่เด็กมีความสูงไม่เป็นไปตามอัตราการเติบโตปกติเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากลของ WHO โดยพิจารณาจากอายุและเพศ กล่าวอย่างง่ายคือเมื่อความสูงของเด็กต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่เสมอ หรือเติบโตช้าเกินไปเป็นเวลานาน

มีภาวะพัฒนาการช้า 2 รูปแบบ:

  • พัฒนาการความสูงช้า: มักเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น นอนหลับไม่เพียงพอ โภชนาการไม่เพียงพอ ความเครียดทางจิตใจ
  • พัฒนาการช้าที่แท้จริง: อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความผิดปกติของฮอร์โมนการเจริญเติบโต โรคต่อมไทรอยด์ หรือกรรมพันธุ์

ไม่ว่าจะมีสาเหตุใด การตรวจพบและอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เด็กๆ สามารถปรับปรุงภาวะพัฒนาการความสูงช้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. 6 สาเหตุที่ทำให้เด็กพัฒนาการความสูงช้า

3.1 ภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone Deficiency)

ฮอร์โมนการเจริญเติบโต (GH) เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้กระดูกอ่อนเจริญเติบโต ซึ่งจะส่งผลให้ความสูงเพิ่มขึ้น เด็กที่ขาด GH มักมีสาเหตุจาก:

  • เป็นมาแต่กำเนิด (เนื่องจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม)
  • มีเนื้องอกในต่อมใต้สมอง
  • ความเสียหายต่อบริเวณไฮโปทาลามัสเนื่องจากการบาดเจ็บหรือโรคภัย

สัญญาณที่สังเกตได้:

  • ความสูงเพิ่มขึ้นช้ามาก (ต่ำกว่า 4–5 ซม./ปี)
  • รูปร่างอ้วนท้วน แขนขาสั้น
  • ฟันขึ้นช้า

[caption id="attachment_2648" align="aligncenter" width="800"]ขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต เด็กอาจตัวเตี้ยกว่าปกติ ขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต เด็กอาจตัวเตี้ยกว่าปกติ[/caption]

หากพบว่าเด็กมีอาการเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ควรพาบุตรหลานไปตรวจฮอร์โมนเพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะพัฒนาการความสูงช้าเนื่องจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ

3.2 เด็กมีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)

หากเด็กเกิดมาพร้อมกับน้ำหนักและความยาวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ต่ำกว่า 2,500 กรัม หรือความยาวต่ำกว่า 48 ซม.) ความเสี่ยงที่จะมีพัฒนาการความสูงช้าในภายหลังจะสูงขึ้น

สาเหตุอาจเกิดจาก:

  • คุณแม่ขาดสารอาหารระหว่างตั้งครรภ์
  • คุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
  • ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน ติดเชื้อในครรภ์

เด็ก IUGR จำเป็นต้องได้รับการติดตามและเสริมโภชนาการที่เหมาะสมหลังคลอด เพื่อลดความเสี่ยงของการพัฒนาที่ไม่ปกติ

3.3 ป่วยเป็นโรคเรื้อรังเป็นเวลานาน

โรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อการดูดซึม การเผาผลาญสารอาหารและพลังงาน เช่น:

  • หอบหืดรุนแรง
  • โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
  • ไตวาย ตับวาย
  • ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Crohn, Celiac)

เมื่อป่วยเป็นโรคเหล่านี้ เด็กมักจะอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ดูดซึมอาหารได้ไม่ดี ส่งผลให้น้ำหนักลดลงและมีพัฒนาการความสูงช้าเป็นเวลานาน

3.4 ภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะภาวะขาดธาตุเหล็ก

 ภาวะโลหิตจางทำให้เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่กำลังพัฒนาไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ ซึ่งจะทำให้กระบวนการสร้างกระดูกช้าลง

[caption id="attachment_2649" align="aligncenter" width="800"]เด็กตัวเตี้ย อาจมีภาวะโลหิตจาง ควรตรวจเช็ก เด็กตัวเตี้ย อาจมีภาวะโลหิตจาง ควรตรวจเช็ก[/caption]

อาการที่พบบ่อย:

  • เด็กซีดเซียว เหนื่อยง่าย
  • สมาธิสั้น
  •  เบื่ออาหาร

หากภาวะโลหิตจางไม่ได้รับการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ อาจมีส่วนทำให้เกิดภาวะพัฒนาการความสูงช้าโดยที่คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ทันสังเกต

3.5 โภชนาการไม่ดีหรือไม่สมดุล

นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการพัฒนาความสูงช้า อาหารที่ขาด:

  • แคลเซียม วิตามินดี 3 วิตามินเค 2: ส่งผลต่อโครงสร้างและความหนาแน่นของกระดูก
  • สังกะสี: ส่งผลโดยตรงต่อ GH และระบบภูมิคุ้มกัน
  • โปรตีน: เป็นพื้นฐานของการสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูก

นอกจากนี้ การบริโภคแป้ง น้ำตาล และอาหารจานด่วนมากเกินไปจะลดการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็น ทำให้เด็กน้ำหนักเพิ่มขึ้นแต่ไม่สูงขึ้น

3.6 ภาวะพร่องไทรอยด์ (Hypothyroidism)

ต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนไทรอกซีน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสูงและสติปัญญา เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง:

  • เด็กนอนมาก ซึม
  • ท้องผูกง่าย
  • โตช้า พัฒนาการความสูงและสติปัญญาช้า

การตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ และรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนจะช่วยให้เด็กมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

4. ประสบการณ์การดูแลและป้องกันจากผู้เชี่ยวชาญ

การดูแลเด็กเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะพัฒนาการความสูงช้าเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างครอบครัวและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์

4.1 ติดตามความสูงเป็นประจำ

  • ใช้กราฟการเจริญเติบโตของ WHO
  • ตรวจสอบความสูงทุก 3–6 เดือน
    หากพบว่าความสูงไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นช้าอย่างต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ

4.2 รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม

  • โภชนาการในแต่ละวันมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสูง คุณแม่ควรเพิ่มการเสริมอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม สังกะสี วิตามินดี และวิตามินเค 2 ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และกระตุ้นฮอร์โมนการเจริญเติบโต เด็กควรได้รับประทานเนื้อปลา ไข่ นม ผักใบเขียว เนยแข็ง ถั่ว และปลาที่มีไขมันในปริมาณที่เพียงพอ
  • ลดอาหารจานด่วน ของทอด และน้ำอัดลมให้มากที่สุด เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีไขมันเลว น้ำตาล และกรดฟอสฟอริกสูง ซึ่งขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมและเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
  • แต่ให้เน้นการบริโภคอาหารสดใหม่และไม่ผ่านการแปรรูป เช่น ผักและผลไม้สด ผลไม้ทั้งลูก ธัญพืชเต็มเมล็ด เพื่อช่วยให้เด็กพัฒนาทั้งร่างกายและสติปัญญาอย่างเต็มที่
  • นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจพิจารณาเสริม Unigrow ให้ลูกน้อยวันละ 2 แก้ว เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน (ซึ่งพัฒนาและแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ)

4.3 ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  • ส่งเสริมให้เด็กเล่นกีฬา: ว่ายน้ำ กระโดดเชือก บาสเกตบอล ปั่นจักรยาน
  • ลดการนั่งนานๆ และการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานเกินไป

4.4 นอนเร็วและนอนให้เพียงพอ

  •  เด็กควรนอนก่อน 22:00 น.
  • นอนให้ได้ 8–10 ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้ GH หลั่งออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ

4.5 สภาพจิตใจเชิงบวก

เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย อบอุ่น และมีความเครียดน้อย มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีกว่า อย่าเพียงแต่มุ่งเน้นไปที่ความสูง แต่จงร่วมเดินทางไปกับลูกในการเติบโตที่สมบูรณ์ในทุกด้าน

5. เมื่อไหร่ที่ควรพาเด็กไปพบแพทย์?

คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กไปตรวจกับผู้เชี่ยวชาญเมื่อ:

  • ความสูงเพิ่มขึ้นช้ามากหรือคงที่นาน 6 เดือน
  • เตี้ยกว่าเด็กวัยเดียวกัน 2–3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
  • เข้าสู่วัยแรกรุ่นเร็วหรือช้ากว่าปกติ
  • มีสัญญาณของโรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อหรือต่อมไทรอยด์
  • มีคนในครอบครัวเคยมีภาวะพัฒนาการความสูงช้าหรือความผิดปกติของการเจริญเติบโต

[caption id="attachment_2651" align="aligncenter" width="800"]พาเด็กพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติได้ทันเวลา พาเด็กพบแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติได้ทันเวลา[/caption]

พัฒนาการความสูงช้าไม่เพียงแต่เป็นปัญหาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นใจในตนเอง สภาพจิตใจ และอนาคตของเด็ก อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถปรับปรุงได้อย่างสมบูรณ์ หากคุณพ่อคุณแม่ตรวจพบได้ทันท่วงทีและมีแผนการดูแลที่เป็นวิทยาศาสตร์

 หากคุณพ่อคุณแม่ยังมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับปัญหาความสูงของลูก อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อในเด็ก เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมที่สุดนะคะ!

 

อ้างอิง:

https://www.stanfordchildrens.org/en/topic/default?id=normal-growth-90-P01625 

https://www.yalemedicine.org/conditions/short-stature-child 

https://www.healthline.com/health/delayed-growth-symptom 

Back to blog

Leave a comment