ช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

ไม่ใช่ทุกช่วงเวลาที่การเสริมแคลเซียมให้เด็กจะได้ผลอย่างที่คาดหวัง ในความเป็นจริง เพื่อช่วยให้ลูกพัฒนาความสูงอย่างเหมาะสม คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องเข้าใจ ช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายสามารถดูดซึมและใช้แคลเซียมได้ดีที่สุด การเลือกช่วงเวลาในการเสริมแคลเซียมที่เหมาะสม ร่วมกับเสริมแคลเซียมอย่างถูกวิธี จะช่วยวางรากฐานที่แข็งแรงให้ระบบกระดูกและช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่โดดเด่นยิ่งขึ้น มาติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความด้านล่างนี้เลยค่ะ!

 

ทำไมต้องเสริมแคลเซียมให้ลูก?

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ถึง 99% ในโครงสร้างของกระดูกและฟัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างและคงสภาพกระดูกให้แข็งแรง นอกจากนี้ แคลเซียมยังช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ การส่งสัญญาณประสาท การแข็งตัวของเลือด และการควบคุมระบบหัวใจและหลอดเลือด สำหรับเด็ก โดยเฉพาะในช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก ร่างกายจะต้องการแคลเซียมมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า

การขาดแคลเซียมอาจทำให้เด็กมีภาวะกระดูกอ่อน โตช้า เหงื่อออกมากตอนกลางคืน นอนหลับไม่สนิท ฟันขึ้นช้า ผมร่วง และกระดูกเปราะหักง่าย หากขาดแคลเซียมเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อความสูงและรูปร่างเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น เสริมแคลเซียมอย่างถูกวิธี และถูกเวลา จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เด็กเติบโตอย่างสมบูรณ์

4 ช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมเพื่อเพิ่มความสูงให้ลูก

การเสริมแคลเซียมไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันในทุกช่วงเวลา มีบางช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กที่หากพ่อแม่รู้จักใช้โอกาสให้ถูกต้อง เด็กจะมีโอกาสสูงในการพัฒนาความสูงได้อย่างโดดเด่น ต่อไปนี้คือช่วงเวลาทองที่ไม่ควรพลาด:

ช่วงทารกแรกเกิดจนถึง 1 ขวบ

นี่คือช่วงแรกของชีวิตที่ระบบกระดูกเริ่มก่อตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็กทารกจะเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในด้านความยาวและน้ำหนัก ซึ่งต้องการแคลเซียมในปริมาณมากเพื่อรองรับการเจริญเติบโต แหล่งแคลเซียมหลักในช่วงนี้มาจากนมแม่หรือนมสูตร หากคุณแม่ขาดแคลเซียมในช่วงตั้งครรภ์หรือขณะให้นม เด็กอาจขาดแคลเซียมตั้งแต่แรกเกิด นี่คือ ช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก ผ่านการดูแลโภชนาการของแม่และการเลือกนมเสริมแคลเซียมที่เหมาะสม

[caption id="attachment_2579" align="aligncenter" width="800"]วัยทารกเป็นช่วงทองในการเสริมแคลเซียม วัยทารกเป็นช่วงทองในการเสริมแคลเซียม[/caption]

ช่วงวัย 1 – 3 ขวบ

เมื่อเด็กเริ่มเดินและเคลื่อนไหวมากขึ้น โครงกระดูกจำเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างอย่างแข็งแรงเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางการเคลื่อนไหว และป้องกันภาวะขาโก่งหรือการเจริญเติบโตช้า นี่คือช่วงเวลาในการเสริมแคลเซียมที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพื่อให้โครงกระดูกแข็งแรง ช่วยให้เด็กยืน เดินได้มั่นคง และฟันขึ้นได้ตามวัย

ช่วงวัย 4 – 10 ขวบ

ช่วงนี้เป็นช่วงที่การเจริญเติบโตมีความมั่นคง เด็กเริ่มเข้าสู่ช่วงของการเรียนรู้ที่เข้มข้น หากได้รับเสริมแคลเซียมอย่างถูกวิธี  ควบคู่กับโภชนาการที่ถูกต้องและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เด็กสามารถสูงขึ้นได้ปีละ 4 – 6 เซนติเมตร ช่วงนี้ถือเป็นระยะเวลาสำคัญในการวางรากฐานด้านร่างกายให้แข็งแรง ก่อนเข้าสู่ช่วงวัยแรกรุ่น

ช่วงวัยแรกรุ่น (อายุ 10 – 18 ปี)

นี่คือช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็กที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเร่งการเจริญเติบโตโดยเฉพาะความสูง หากได้เสริมแคลเซียมอย่างถูกวิธี ร่วมกับวิตามิน D3, K2 และมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เหมาะสม เด็กสามารถสูงเพิ่มได้ถึง 8 – 12 ซม. ต่อปี ช่วงนี้ยังเป็นเวลาที่ฮอร์โมนการเจริญเติบโตทำงานอย่างเข้มข้น ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกอย่างมีประสิทธิภาพ หลังอายุ 18 ปี ความสามารถในการเพิ่มความสูงจะลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้นหากพลาดช่วงเวลานี้ จะเป็นเรื่องยากที่เด็กจะมีความสูงตามที่ต้องการ

[caption id="attachment_2580" align="aligncenter" width="800"]เสริมแคลเซียมถูกช่วง ช่วยให้เด็กสูงได้ตามเป้า เสริมแคลเซียมถูกช่วง ช่วยให้เด็กสูงได้ตามเป้า[/caption]

ช่วงเวลาในการเสริมแคลเซียมที่ดีที่สุดในแต่ละวัน

ไม่เพียงแค่เลือกช่วงวัยให้ถูกต้องเท่านั้น แต่ช่วงเวลาในการเสริมแคลเซียมในแต่ละวันก็มีผลต่อการดูดซึมเช่นกันช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ตอนเช้า หลังอาหาร 1–2 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อร่างกายได้รับแสงแดด จะช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดี ซึ่งส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น

ไม่ควรให้เด็กดื่มแคลเซียมตอนกลางคืน เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ท้องอืด และกระทบต่อการทำงานของไต นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเสริมแคลเซียมพร้อมกับธาตุเหล็ก เพราะทั้งสองชนิดนี้จะแข่งขันกันในการดูดซึม ควรเว้นช่วงกันอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมง

ข้อควรระวังในการเสริมแคลเซียมให้กับเด็ก

เพื่อเสริมแคลเซียมอย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจในประเด็นต่อไปนี้:

  • เลือกชนิดแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี: ควรเลือกใช้แคลเซียมนาโน ร่วมกับวิตามิน D3 และ K2 เพื่อช่วยให้แคลเซียมเข้าสู่กระดูกได้อย่างเต็มที่
  • อย่าใช้เกินขนาด: การใช้แคลเซียมเกินขนาดอาจทำให้ท้องผูก นิ่วในไต หรือแคลเซียมเกาะที่เนื้อเยื่ออ่อน ควรใช้ตามปริมาณที่เหมาะสมตามช่วงวัย หรือคำแนะนำของแพทย์
  • ควบคู่กับโภชนาการและการออกกำลังกาย: การดูแลอาหารให้มีประโยชน์และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้แคลเซียมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เพิ่มอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม: เช่น นม ชีส ปลาซาร์ดีน ไข่ ผักใบเขียว เต้าหู้ อัลมอนด์ เป็นต้น

นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถเสริมแคลเซียมให้เด็กผ่านผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาการอย่าง UniGrow ได้เช่นกัน UniGrow มีแคลเซียมนาโนและแคลเซียมออร์แกนิกจากสาหร่ายสีแดง Aquamin F ร่วมกับ Bonepep และสารอาหารเสริมดูดซึมแคลเซียม CPP – D3 – K2 ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้เต็มที่ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และช่วยเพิ่มความสูงอย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก

[caption id="attachment_2581" align="aligncenter" width="800"]เสริมแคลเซียมครบทุกวันด้วย UniGrow เสริมแคลเซียมครบทุกวันด้วย UniGrow[/caption]

แคลเซียมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาทางร่างกายและความสูงของเด็ก การกำหนดช่วงเวลาทองในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก ร่วมกับเสริมแคลเซียมอย่างถูกวิธีและในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้เด็กมีพื้นฐานสุขภาพที่แข็งแรง เพิ่มความสูงได้อย่างเต็มศักยภาพ และพัฒนาร่างกายอย่างรอบด้าน

คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมควรผสานการกินอาหารที่สมดุล การใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสม เช่น UniGrow เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมให้กับลูกในช่วงเวลาสำคัญนี้นะคะ!

Back to blog

Leave a comment